THE WORLD CLASS MMORPG
The MMORPG, Black Desert ร่วมสนุกไปกับเนื้อหาที่หลากหลายในโลกอันกว้างใหญ่ตั้งแต่การต่อสู้และสงครามปิดล้อมที่สมจริง
ไปจนถึงการสำรวจ, การค้าขาย, การตกปลา, การฝึกสัตว์, การเล่นแร่แปรธาตุ, การทำอาหาร,
การรวบรวม และการล่าสัตว์ Black Desert ท้าทายขีดจำกัดของเกม MMORPG
ผ่านการ Remastering ทั้งด้านกราฟิกและระบบเสียง เพื่อความสมจริงที่สุด
STORY OF BLACK DESERT
แนะนำโลกเกม
แต่จิตใจของคนโบราณกลับอ่อนแอขึ้นเรื่อยๆ จากสิ่งที่ตนเองสร้างขึ้น จนในที่สุดอารยธรรมโบราณก็ได้สูญสลายไป
หินที่มีพลังมหาศาลนี้ ยังมีอยู่มากในทะเลทรายที่อยู่ระหว่างสาธารณรัฐคาลเพออนและราชอาณาจักรบาเลนเซีย
ชาวคาลเพออนเรียกแผ่นดินที่หินสีดำพวกนี้ฝังอยู่ว่า "ทะเลทรายสีดำ" และเริ่มสงครามเพื่อแย่งชิงทรัพยากรหินดำนี้ขึ้น
ในทางกลับกันราชอาณาจักรบาเลนเซีย ที่ได้สูญเสียทหารจำนวนมากไปในสงคราม ได้เรียกแผ่นดินแห่งนี้ที่มีเลือดของเหล่าทหารไหลรินลงว่า "ทะเลทรายสีแดง"
สงครามระหว่างสาธารณรัฐคาลเพออน เมืองแห่งการค้าและการลงทุน และราชอาณาจักรบาเลนเซีย เมืองแห่งระบบราชาธิปไตย
ได้ทำให้ความลับที่ถูกซ่อนไว้ในอารยธรรมโบราณกลับคืน ... ความลับนั้น คืออะไร ?
ขอต้อนรับทุกท่านสู่โลกของ Black Desert ที่ที่ท่านจะออกผจญภัยตามหาความจริงในอดีต
ตำนานคาลเพออน
หายนะที่เกิดจากก้อนเนื้อสีดำที่เน่าเสีย ซึ่งเกิดกับทุกคนโดยไม่มีข้อยกเว้น ผู้คนต่างเริ่มเฝ้าระวังตนเองและงดการไปมาหาสู่กัน คนที่ต้องสงสัยว่าได้รับโรคระบาดนี้ล้วนแต่ถูกส่งออกไปนอกปราสาท #1 ปีศักราชเอลีออนที่ 235 ราชวงศ์ที่ต้องทิ้งกระทั่งสายเลือดของตนเพราะติดโรคร้ายอันน่าอนาถ ตระกูลอันสูงส่งของเหล่านักบวช ตำแหน่งพวกนั้นไม่สามารถช่วยอะไรได้ สำหรับชาวบ้านธรรมดาที่ถูกขับไล่ล้วนแล้วแต่ต้องตายลง อย่างน่าเวทนาด้วยหน้าตาที่อัปลักษณ์และแล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็ถูกเพลิงไฟเผาไหม้ไปสิ้น ราวกับสายลมที่พัดผ่านไปชั่วครู่ ความตายสีดำได้ถูกปกปิดไว้เพียงช่วงหนึ่ง ร่องรอยที่เหลือสร้างความระส่ำระสายให้กับชาวบ้าน แม้กระทั่งเหล่าราชวงศ์ที่มีสายเลือดอันสูงส่งก็ไม่ได้ต่างกันออกไป ทุกคนต่างเฝ้าสวดภาวนาให้หายนะนั้นจบสิ้นลง แต่ว่าท่านเอลีออนก็ไม่ได้แสดงอภินิหารสิ่งใดออกมา
พวกกลุ่มชนชั้นสูงในแต่ละประเทศต่างร้อนใจ โดยเฉพาะในคาลเพออนซึ่งเป็นที่รวมของชนชั้นสูงไว้จำนวนมากได้ตัดสินใจว่าจะต้องมีใครสักคนที่จะต้องคอยรักษากฎระเบียบเอาไว้ เหล่านักบวชเอลีออนได้ออกมายุยงว่าพวกบาเลนเซียนอกศาสนานำหายนะมาด้วยหินเวทมนตร์ที่เกิดจากการเล่นแร่แปรธาตุด้วยผลึกดำ ราชวงศ์กล่าวต่อว่าจะต้องครอบครองทะเลทรายสีดำที่มีผลึกดำเพื่อป้องกันหายนะ
และได้สัญญาว่าจะให้ค่าแรงที่ไม่เคยมีมาก่อนแก่ชนชั้นล่างที่เพิ่งจะเห็นค่าในแรงงานของตน เกิดการรวมตัวกันเป็นเหล่าพันธมิตรและเลือดก็เริ่มหลั่งไหลจากการทำสงครามอันยาวนานกับบาเลนเซีย
หายนะนั้นยุติธรรมเสมอ เป็นที่รู้กันดีถึงซากศพของเหล่าทหารบาเลนเซียที่ออกไปรบนอนตายเกลื่อนกลาดอยู่เต็มไปหมด การยั่วยุของเหล่านักบวชถูกหัวเราะเยาะ และผู้คนต่างก็เริ่มรู้สึกโชคดีในการมีอยู่ของเอลีออน แต่ว่าสงครามก็ได้สร้างเหตุผลที่ชัดเจนและง่ายดายในการแก้แค้น เพราะเหล่าไพร่พลที่ออกไปรบที่ต่างวนเวียนไปมาในเมเดียต่างได้รับบาดเจ็บ เมเดียที่อยู่บริเวณตรงกลางของผืนแผ่นดินใหญ่นั้นเป็นจุดเชื่อมต่อทางการค้าและสะสมความมั่งคั่งโดยการส่งเสบียงและอาวุธให้กับกลุ่มพันธมิตร อาวุธที่เริ่มจากดาบ, ปืน และ ปืนใหญ่ซึ่งมีค่าสูงและยังได้พัฒนาเหมืองแร่เหล็กขนาดใหญ่ ความรู้ที่มากกว่านับเป็นพลังอย่างหนึ่ง บาเลนเซียนั้นเอาชนะความมืดในทะเลทรายและต้องการผลึกดำเพื่อการฟื้นฟูตนเอง ด้วยเหตุนี้ทางพันธมิตรจึงต้องการที่จะกำจัดทะทรายสีดำทิ้งไป จึงได้ให้เหล่าไพร่พลแต่ละขบวนขนส่งผลึกดำออกไปในปริมาณมาก เมเดียต้อนรับคนเหล่านี้ ทางฝั่งพันธมิตรบอกว่าพวกนั้นจำเป็นต้องใช้ผลึกดำเพื่อจะหลอมเหล็กและทำดินปืน พันธมิตรคาลเพออนนั้นค่อนข้างพอใจที่สามารถจัดการกับค่าใช้จ่ายในการขนส่งของพวกนักเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นทั้งฝ่ายบาเลนเซียหรือฝ่ายคาลเพออน ต่างไม่มีผู้ใดรู้จักคุณค่าของผลึกดำ ระหว่างที่เก็บสะสมผลึกดำในราคาถูกไว้จำนวนมาก ที่เมเดียก็มีเมืองเกิดขึ้นและก็เริ่มมีผู้คนอพยพเข้ามาอยู่อาศัย และก็มีการสร้างกำแพงขึ้น กษัตริย์แห่งบาเลนเซีย อีมูร์ เนเซลมีชื่อเสียงมากขึ้น เขาคือผู้ซึ่งถูกเรียกว่าซาตานเนื่องจากเป็นผู้นำหายนะมาสู่ทั่วแผ่นดิน หลังจากนั้นความไม่เอาไหนไร้สามารถของพวกพันธมิตรก็เป็นที่หัวเราะเยาะผ่านปากของพวกตัวตลก นั่นเป็นเพราะว่า แม้จะเกิดกบฏภายในบาเลนเซียหลายต่อหลายครั้ง แต่พันธมิตรคาลเพออนเองก็ไม่มีสามารถแม้แต่จะเข้ามาและเห็นปราสาทของบาเลนเซียได้ เหล่าพันธมิตรใช้เวลากว่า 30 ปี ในการทำสงคราม จนกระทั่งในครั้งสุดท้ายที่พายุทรายได้ฝังกองกำลังและทหารของกษัตริย์ดาฮาร์ดแห่งคาลเพออนไว้ในทะเลทรายสีดำ
เป็นช่วงเวลายาวนานที่ไม่มีการสื่อสารต่อกัน ทำให้การพูดคุยกันระหว่างยามาญและมนุษย์ยากขึ้น แม้ว่าตอนนี้จะสามารถสื่อสารกันได้ แต่มันจะมีอะไรสำคัญมากไปกว่าการมีชีวิตรอด ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลหรือความคิดอะไรก็ตาม? ทั้งมนุษย์และพวกยามาญได้เข้ามาอาศัยอยู่บนผืนแผ่นดินเดียวกันอีกครั้ง แล้วพวกไพร่พลที่ออกไปรบหรือพันธมิตรนั่นก็เป็นเพียงอดีตไป
เคปรัน, ไฮเดลและโอลเบียได้เริ่มทำการค้ากับบาเลนเซียผ่านเมเดีย เพราะไม่มีทางเลือกอื่นที่จะช่วยเหลือสถานการณ์ทางการเงินของเหล่ากองทัพที่เดินทางไปเพื่อทำสงคราม กษัตริย์แห่งคาลเพออนเองก็ต้องยอมจำนนแก่คำเรียกร้องของเหล่าสาวกแห่งเอลีออน อนุญาตให้กลุ่มนักการค้าทำการค้า 10 ปีผ่านไป เมเดียที่ได้พบเจออีกครั้งไม่เหมือนในอดีตอีกแล้ว ถึงแม้ทางด้านใต้ของเมเดียจะถูกเผ่ายามาญยึดครอง แต่ทางด้านเหนือนั้นถูกล้อมรอบไปด้วยกำแพงปราสาท และบนกำแพงนั้นก็เต็มไปด้วยปืนและปืนใหญ่ พร้อมด้วยเหล่าทหารที่เฝ้ามองลงมายังด้านล่างด้วยความมั่นในเกินร้อย ทั้งเมืองเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา อุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ ต่างถูกเตรียมพร้อมไว้เป็นอย่างดี ถึงแม้คาลเพออนจะพยายามสืบหาสาเหตุ แต่ก้ไม่อาจรู้ได้
ถ้าต้องการเบาะแสก็ต้องข้ามทะเลทรายสีดำไป แต่สถานที่แห่งนั้นมีทหารบาเลนเซียคอยเฝ้าระวังอยู่ ถ้าจะบอกว่าคอยระวังเชื้อเพลิงอยู่ ก็ดูจะเกินจำเป็น
ผลึกดำที่ขโมยมาได้มาถึงมือของเหล่านักเล่นแร่แปรธาตุแห่งคาลเพออนแล้ว ในที่สุดก้ค้นพบสาเหตุที่ทำให้อาวุธแห่งเมเดียแข็งแกร่งขึ้นในเวลาอันสั้นแล้ว เรื่องที่เหล่าสาวกพูดถึงหินวิเศษนั้นเป็นเรื่องจริง ข่าวนี้แพร่กระจายออกไปถึงเคปรัน, ไฮเดล และโอลเบีย
ผู้คนต่างพากันออกตามหาผลึกดำ เคปรันเป็นผู้ที่เจอผลึกดำก่อนที่ภูเขาหิน แต่มีสิ่งแปลกปลอมผสมอยู่มาก จึงไม่ได้ส่งผลดีมากต่อการวิจัย แต่เมเดียก็ยังรับซื้อสิ่งนี้ในราคาแพง ถ้าจะละลายแร่เหล็ก ก็จำเป็นต้องใช้ความร้อนในระดับที่สูงมาก หลังสงครามบาเลเซียก็มีประกาศห้ามซื้อขายผลึกดำ
ต่อมาที่เซเรนเดียก็พบเจอผลึกดำบริเวณหนองน้ำ มีผู้ส่งข่าวว่าเศษหินที่เหล่านากาครอบครองอยู่คือผลึกดำ เพราะมีข่าวว่าเป็นผลึกดำที่มีความบริสุทธิ์สูง ทำให้เหล่านักการค้าเมเดียตามมาดูด้วยตาตนเอง คาลเพออนเองก็เริ่มกังวลใจ เพราะต่อให้ค้นจนทั่วดินแดนก็หาผลึกดำไม่พบ ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปคาลเพออนที่เคยยิ่งใหญ่ จะต้องสูญเสียอำนาจเป็นอย่างแน่ แม้แต่เซเรนเดียยังหาผลึกดำพบ ปัญหาคือเหล่าผู้ยากไร้ การที่จะรวบรวมเหล่าประชากรที่เจ็บช้ำจากสงครามและการชิงทรัพย์จากเผ่ายามาญนั้น จำเป็นต้องใช้ค่าใช้จ่ายจำนวนมาก
กษัตริย์หนุ่มกาย เซริคนั้น เพื่อที่จะเตรียมการก็ได้ชักจูงเหล่าสาวกแห่งเอลีออนด้วยคำว่า ต้องการฟื้นฟูเอลีออนขึ้นมาอีกครั้ง และสัญญากับกลุ่มการค้าว่าจะให้ทหารรับใช้เพื่อต่อสู้กับกลุ่มการค้าเมเดีย สงครามเกิดขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ทุกอย่างเกิดขึ้นจากความละโมบ
เวลาผ่านไป 1 ปี กษัตริย์คลูซีโอถึงกลับมายังไฮเดลได้ โอลเบียกลายเป็นเมืองแห่งความสงบตั้งแต่ประกาศถอยทัพ และได้รับการปกครองโดยตรงจากคาลเพออน ผลึกดำเริ่มทยอยเข้ามาที่เหมืองหินเคปรัน และโรงสกัดที่เซเรนเดีย, กาย เซริคที่มีความโลภก็ได้เริ่มต้นเดินหน้าไปยังทะเลทรายสีดำ เมื่อปราบเอาทะเลทรายสีดำมาได้ เขาก็มีความเชื่อมั่นอย่างมากมายว่าจะสามารถปราบเอาบรรดาอาณาจักรต่างๆ และเมืองเร้นลับทั่วทุกทวีปมาครอบครองได้
แต่คำว่าพันธมิตรไม่มีอีกต่อไป ถ้าไม่มีกองกำลังอันแข็งแกร่งของไฮเดลช่วยสนับสนุน ก็คงจะไม่สามารถเอาชนะเมเดียที่เข้มแข็งได้ ทั้งๆ ที่คาดการณ์เช่นนั้นไว้ กาย เซริคก็ยังคงคิดที่จะมุ่งหน้ารวบรวมกองกำลังมหาศาลอยู่ดี ปัญหาก็คือค่าใช้จ่ายในการทำสงคราม ไม่มีความอดทนพอที่จะรอให้รวบรวมผลึกดำได้อีกต่อไป เรื่องที่ห้ามทำสุดท้ายกษัตริย์ก็ทำลงไป เพื่อจัดการค่าใช้จ่ายในการทำสงครามภาษีที่ไม่เคยมีก็เกิดขึ้น ชนชั้นล่างที่เพิ่งจะมีความมั่นคงก็เหมือนถูกฟ้าผ่า สถาบันเอลีออนเองก็ถูกเรียกเก็บภาษี เหล่าทหารชั้นสูงก็ตกอยู่ในอำนาจของกษัตริย์
ตำนานเซเรนเดีย
เหตุการณ์การล้มเลิกการร่วมขบวนเดินทางไปสงครามในครั้งนี้ ทำให้อำนาจของเหล่านักบวชตกอยู่ในอันตราย ทั้งๆ ที่คิดไว้ว่าจะสร้างโบสถ์ในระหว่างทางไปสงคราม ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามที่คาดการณ์พวกเขาอาจจะเผยแพร่คำสอนของเอลีออนไปได้ถึงบาเลนเซียแท้ๆ เหล่าสาวกต่างประกาศเตือนคำกล่าวของคลูซีโอ และดาฮาร์ดเองก็ออกมาเกลี้ยกล่อม คลูซีโอตกอยู่ในสถานที่ต้องครุ่นคิดอย่างหนัก สงครามกับคาลเพออนนั้นเป็นเรื่องที่สมควรหลีกเลี่ยง ตามที่เหล่าทหารกองทัพไฮเดลว่า เหล่าผู้ติดตามเอลีออนนั้นมีมาก หลังจากคิดทบทวนมานานคลูซีโอก็ประกาศเข้าร่วมเพื่อเดินทางไปทำสงครามอีกครั้ง นี่เป็นเรื่องใหญ่ที่เขาต้องเสี่ยงทั้งๆ ที่ไม่มีความมั่นใจ เบาะแสสุดท้ายก็คือ การเห็นชอบจากดาฮาร์ด ดาฮาร์ดนั้นประกาศก้องว่า ถ้าไม่อยากให้คนรุ่นหลังหัวเราะเยาะอย่างน้อยๆ ก็ต้องไปให้เห็นถึงปราสาทบาเลนเซีย การรวบรวมผู้คนเพื่อสงครามครั้งนี้ใช้เวลาร่วม 2 ปี
การเดินทางข้ามทะเลทรายสีดำนั้น กลายเป็นเรื่องที่คุ้นเคย จนโดมอนกัทท์แทบจะหลับตาเดินข้ามไปได้ง่ายๆ แต่โลกนี้ไม่มีอะไรง่ายๆ เพราะตั้งแต่เริ่มการเดินทัพพายุก็พัดมาจากเมเดีย กระแสน้ำเริ่มแปรทิศทาง ทะเลทรายนั้นยังอยู่อีกไกล เหล่าทหารมาตั้งค่ายอยู่ที่ด้านล่างของกำแพงปราสาท เพื่อเฝ้ารอลมที่จะพัดมา และหลังจากนั้นประมาณหนึ่งสัปดาห์ทิวทัศน์ของเมเดียถึงได้ปรากฏขึ้นให้เห็น
นั่นมันเรื่องอะไรกันแน่ ? ถึงแม้จะเคยได้ยินข่าวจากกลุ่มการค้าว่าตอนนี้เมเดียได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว มีการเกณฑ์ทหารมายืนล้อมรอมกำแพงเมือง และมีควันสีดำพวยพุ่งออกมาจากปล่องไฟอย่างไม่ขาดสาย ดาฮาร์ดรีบเร่งเหล่าคณะเดินทาง ถึงแม้จะน่าสงสัย แต่ถ้ายังรอช้าก็จะมีปัญหาเรื่องเสบียง แถวขบวนอันยาวเหยียดมาที่ทะเลทรายสีดำอีกครั้ง ในครั้งนี้มันมาพร้อมกับสายฝน หยาดฝนในทะเลทราย ?
ขณะนั้นเองมีใครบางคนเห็นธงสีแดง แล้วตะโกนขึ้น มีธงสีแดงปักอยู่ที่อาณาเขตของบาเลนเซีย นั่นหมายความว่าเหล่าพันธมิตรเข้ามาที่ทะเลทรายสีดำแล้ว เหล่าสาวกแห่งเอลีออนที่เดินทางไปที่สนามรบต่องเริ่มสวดอ้อนวอน เวลานั้นผ่านไปเพียงไม่นานความมืดก็คลืบคลานเข้ามา พายุฝุ่นขนาดใหญ่ได้พัดเข้ามา คลูซีโอที่ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งใต้โพรงทราย ดาฮาร์ดก็ไม่อยู่ที่นั่นแล้ว เมื่อได้เห็นว่าธงสีแดงล้มลงมาข้างๆ ก็รู้ได้ว่าฝ่ายบาเลนเซียนั้นเสียหายมากมาย
การเดินทางเพื่อไปรบ ? การมีชีวิตเหลือรอดอยู่นั้นสำคัญยิ่งกว่า เมฆดำคลืบคลานเข้ามาปกคลุมจากทั่วทุกทิศทางนั้นช่างไม่ปลอดภัย พายุฝุ่นยังคงพัดเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เมื่อเดินมาต่อมาเรื่อยๆ ก็ถูกแม่น้ำเดมิที่มีขนาดใหญ่ขวางทาง หลังจากที่รออยู่เป็นเดือนปลายแม่น้ำก็เปิดออก และหลังจากที่เดินข้ามไปคลูซีโอก็เรียกสติกลับมาได้ เหล่าขณะเดินทางต่างผิดหวัง คณะนักบวชแห่งคาลเพออน ได้มอบรางวัลขนาดใหญ่ให้แก่เหล่าทหาร ชัยชนะอันใหญ่หลวงที่ทำให้บาเลนเซียไม่อาจลุกขึ้นมาได้ เหตุผลอะไรก็ได้ที่สามารถนำมาปลอบใจผู้ที่ประสบกับหายนะอันใหญ่หลวง โชคดีที่หายนะครั้งนี้ไม่ได้มีผลกระทบอะไรมากนักต่อปราสาทไฮเดล หรือที่ราบเซเรนเดีย แต่ทางตอนใต้มีหนองน้ำเพิ่มมากขึ้น
สงครามที่มนุษย์ไม่สามารถหยับยั้งได้ จบลงด้วยฝีมือของธรรมชาติ และแล้วความสงบก็เข้ามา กาย เซริคกษัตริย์หนุ่มก็ได้กลับมาครองบัลลังก์
และหลังจากที่ได้รับรายการว่าแท้จริงแล้วเศษหินที่พวกนากาถืออยู่ในมือคือผลึกดำ โดมอนกัทท์ก็เร่งเดินทางไปที่หนองน้ำทันที นี่จะเป็นกุญแจในการแก้ไขปัญหากับคาลเพออน แต่โดมอนกัทท์ที่น่าสงสาร ไม่สามารถเพียงที่จะเริ่มต้นทำอะไร
เพราะคาลเพออนเองก็ทำทุกวิถีทางเพื่อค้นหาผลึกดำ แต่ที่ดินแดนของคาลเพออนเองก็ไม่มีผลึกดำ แต่ทันทีที่ได้ยินข่าวลือว่ามีการค้นพบผลึกดำที่เหมืองหินเคปรันของเซเรนเดีย กษัตริย์หนุ่มกาย เซริคก็ไม่รอช้า
หลังจากยอมจำนนให้แก่เคปรันโดยปราศจากการทำสงคราม ทุ่งหญ้าบริเวณรอบๆ หอสังเกตการณ์ไฮเดลก็เริ่มถูกบุกรุกขึ้นเรื่อยๆ แต่กองกำลังของไฮเดลนั้นแข็งแกร่งมากพอ หลังจากที่กาย เซริคหากองกำลังมาทดแทนได้ครบ พวกเขาก็เริ่มมุ่งหน้ามายังไฮเดลทันที กษัตริย์โดมอนกัทท์ได้สูญเสียปราสาทไฮเดลไปจากการบุกรุกในครั้งนี้ และถูกจับเป็นเชลยในที่สุด แต่โดมอนกัทท์ก็ไม่คิดที่จะยอมแพ้ เขาได้ฝากบอกผู้ส่งสารแห่งไฮเดลที่มายังคาลเพออนว่า ต่อให้ตนเองจะต้องสูญเสียชีวิตหรือเลือดเนื้อมากเพียงใด ก็ยังปราถนาที่จะทำสงครามชี้ชะตาเพื่อตัดสิน จึงทำให้กองกำลังคลิฟล้มเลิกที่จะบุกรุกเคปรัน แล้วหันมาสร้างโรงปฏิบัติงานขึ้น ส่วนอาร์มสตรองเองก็ได้มุ่งหน้าไปที่ทุ่งหญ้าคาลเพออนเพื่อก่อตั้งกองทัพขึ้นที่นั่น ในขณะเดียวกัน กาย เซริคก็แต่งตั้งนักรบเกราะขึ้นมา และนับเป็นการถือไพ่ที่เหนือกว่าของเคปรันก็ว่าได้ ในระหว่างนั้นก็เกิดการสูญเสียเลือดเนื้อมากมาย และหากปล่อยสถานการณ์ให้เป็นแบบนี้ต่อไป การสูญเสียก็จะเพิ่มมากขึ้น ตอนนี้ต่อให้คาลเพออนเป็นฝ่ายชนะ แต่ภายใต้ความพยายามของผู้กล้าทั้งสองก็ก่อให้เกิดหายนะมาแล้วนับไม่ถ้วน
และแล้ว กาย เซริคก็ได้เปลี่ยนความคิดขึ้น เนื่องจากสิ่งที่เขาต้องการคือผลึกดำ จึงได้ทำสนธิสัญญาขึ้นมาและได้อ้างถึงการยุติสถานการณ์การนองเลือดนี้ ทำให้โดมอนกัทท์ลังเลใจอยู่ไม่น้อย แต่ตราบใดที่เขาไม่ยอมแพ้ โอกาสที่จะเป็นฝ่ายชนะก็สามารถมาเยือนได้ทุกเมื่อ ในที่สุดสนธิสัญญานี้ก็ถูกปรับใช้ตามข้อตกลงของโดมอนกัทท์ และมีระยะเวลายาวนานมากกว่า 1 ปี หลังจากนั้นโดมอนกัทท์ก็ถูกปล่อยตัวกลับมายังไฮเดล ซึ่งชาวไฮเดลเองก็เข้าใจการกระทำของเขาเป็นอย่างดี เขาได้สร้างศูนย์กลางขึ้นมาใหม่ที่บริเวณทุ่งหญ้าใกล้กับหอสังเกตการณ์ และคลิฟกับอาร์มสตรองที่ต้องย้ายค่ายไปยังภาคตะวันตกนั้น ก็เคารพต่อการตัดสินใจของโดมอนกัทท์เช่นกัน แต่ก็ยังมีบางคนที่รู้สึกกังวลและหวาดกลัวต่อการตัดสินใจนี้ แต่โดมอนกัทท์ก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะสิ่งที่ทำให้เขากังวลมากที่สุดในตอนนี้ คือการมองเห็นที่โรงสกัดคาลเพออนที่ถูกก่อตั้งขึ้นมาบริเวณหนองน้ำแห่งเซเรนเดีย และนั่นก็เป็นจังหวะเดียวกันกับการที่คลูซีโอเริ่มติดเชื้อโรคร้ายขึ้น
การเสียชีวิตอย่างกะทันหันของกาย เซริค ทำให้บริเวณแผ่นดินใหญ่ภาคตะวันตกอยู่ในภาวะอลหม่าน ทั้งข่าวลือที่ว่ากาย เซริคผู้ที่มีความแข็งแกร่งและยังอยู่ในวัยสามสิบต้นๆ เสียชีวิตลงด้วยการติดเชื้อโรคประหลาด หรือข่าวลือว่าเขาถูกวางยาพิษ และสำหรับคลูซีโอเอง หากเป็นเช่นข่าวลือจริงมันก็คงจะดีไม่น้อย นี่คือโอกาสแห่งชัยชนะที่มาถึงเร็วกว่าที่คิด การแย่งชิงอำนาจที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้น จะทำให้คาลเพออนอ่อนกำลังลง คลูซีโอได้เรียกให้คลิฟแห่งค่ายตะวันตกมาเพื่อทำลายสนธิสัญญา แต่คลิฟก็ยืนยันที่จะรอดูสถานการณ์ของคาลเพออนต่อไป และระหว่างที่พวกเขาสนทนากัน จู่ๆ จอร์ดีนก็แทรกเข้ามา เขาเป็นคนที่คลิฟแนะนำให้รู้จักกับคลูซีโอตอนที่ร่างกายของเขาแย่ลงหลังเกิดสงคราม จอร์ดีนมีทักษะการทำงานเป็นเลิศ จึงสามารถช่วยเหลือคลูซีโอได้เป็นอย่างดี จอร์ดีนบอกว่า สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากกว่าการเเย่งชิงอำนาจคือเหล่ากลุ่มการค้าต่างหาก และมันก็ยิ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าหนทางที่คาลเพออนจะได้รับชัยชนะนั้นมีน้อยเต็มที คลูซีโอเองเห็นด้วยกับจอร์ดีน แต่ก็ตัดสินใจรอดูสถานการณ์ต่อไปตามที่คลิฟบอก ในที่สุดสถานการณ์ในคาลเพออนก็เริ่มคลี่คลายลงได้อย่างรวดเร็วเหนือการคาดหมาย คาลเพออนที่ได้แต่งตั้งระบบรัฐสภาก็กลับมาแข็งแกร่งขึ้นอีกครั้ง จอร์ดีนได้เลื่อนตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาส่วนพระองค์ในวัยยี่สิบห้า เขามีความมุ่งมั่นที่จะปกป้องและแก้แค้นเพื่อบ้านเกิดเมืองนอน ด้วยจิตใจที่เคยเป็นทหารคาลเพออนที่ต่อสู้อย่างไม่คิดชีวิต จนสูญเสียครอบครัวของตนไปเกือบทั้งหมด แต่หลังจากที่โรงสกัดถูกสร้างขึ้น คลูซีโอก็ได้อ้างตนแทนกษัตริย์และสถาปนาตนเป็นเจ้าปราสาท และนั่นก็ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งของผู้คนมากมาย รวมทั้งคลิฟเองก็ถูกเลือนขั้นให้เป็นผู้บัญชาการด้วยเช่นกัน จอร์ดีนบอกว่าคลูซีโอและคาลเพออนจะต้องสูญเสียอำนาจในไม่ช้า มากสุดก็อาจจะประมาณ 5 ปี เพราะการที่เขาปล่อยให้เหล่ากลุ่มการค้าเข้ามามีบทบาทในคาลเพออน ก็เหมือนกับนำปลาย่างไปให้แมว และพวกนั้นก็จะยึดอำนาจการปกครองไปจนหมด ในทางกลับกันไฮเดลก็คงจะแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นมากในสถานการณ์แบบนี้ เขาจึงยื่นข้อเสนอให้คลูซีโอเรียกเก็บภาษีเพิ่มเพื่อไม่ให้พวกกลุ่มการค้าอวดดีจนเกินไป
เพราะว่าในสมัยก่อนที่คนโบราณได้ก่อสร้างหอคอยแห่งความมุ่งมั่นขึ้น ก็มีเหตุการณ์ประหลาดแบบนี้เช่นเดียวกัน
ตำนานเมเดีย
เมื่อการเกลี้ยกล่อมของคาลเพออนเริ่มต้นขึ้น พระเจ้าบาเรสที่ 2 ก็ปฏิเสธที่จะออกไปสู้รบในสงคราม คาลเพออนจึงได้เปิดเส้นทางให้เขามุ่งหน้าไปยังบาเลนเซีย และบาเลนเซียก็ต้องยอมรับให้พระเจ้าบาเรสที่ 2 ลี้ภัยเข้ามาอย่างสุดวิสัย และผู้อยู่เบื้องหลังสถานการณ์ทั้งหมดนี้ก็คือเนรูด้า เชนน์ นักเล่นแร่แปรธาตุผู้ก่อตั้งสมาพันธ์การค้าเมเดีย เขาได้รวบรวมช่างตีเหล็กที่มีชื่อเสียงมากมายแล้วเริ่มทำการค้ากับคาลเพออน สมาพันธ์การค้าเมเดียได้ตัดสินใจสนับสนุนเสบียงให้แก่คาลเพออน แต่มีข้อแลกเปลี่ยนคือคาลเพออนต้องส่งผลึกดำให้ฝั่งของตน การค้าในครั้งนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากเนื่องจากคาลเพออนไม่รู้ถึงมูลค่าที่แท้จริงของผลึกดำ นอกจากนี้ สมาคมนักการค้าเชนน์ ได้ใช้ถ้ำภูเขาไฟเมเดียให้เป็นเตาหลอมธรรมชาติ พวกเขาใช้ถ่านหินและเปลวเพลิงด้านในถ้ำมาหลอมละลายเหล็กและผลึกดำ ทำให้สามารถสร้างอาวุธได้รวดเร็วกว่าคาลเพออนหลายเท่า ยิ่งขนส่งเสบียงไปให้แก่คาลเพออนมากเท่าไหร่ ปริมาณผลึกดำที่จะได้รับกลับมาก็จะเพิ่มขึ้นมากเท่านั้น และในสถานการณ์แบบนี้ คาลเพออนเองก็ไม่ได้รู้สึกผิดสังเกตุหรือระแคะระคายใจแต่อย่างใด คณะทูตบาเลนเซียน้อยคนที่จะได้เข้ามายังเมเดีย และน้อยมากที่พวกเขาจะรับรู้เรื่องราวของกลุ่มการค้า สมาคมนักขายเมเดียได้แบ่งค่าตอบแทนบางส่วนที่ได้รับจากคาลเพออนให้แก่บาเลนเซีย บาเลนเซียจึงยินยอมให้สมาคมนักขายเมเดียมีสิทธิทางการค้าและสัญญาว่าจะปกป้องพวกเขา เมื่อคาลเพออนพัฒนาฝีมือในการแปรรูปมากขึ้นก็ได้รับรู้ถึงการถูกหลอกใช้ แต่ก็ไม่สามารถเรียกร้องให้พวกเมเดียส่งคืนผลึกดำที่สูญเสียไปกลับมาให้ตนเองได้ คาลเพออนพยายามที่จะซื้อผลึกดำกลับคืนมา แต่ก็ไม่สำเร็จ และการที่อัลทิโนว่าที่เคยเป็นเมืองเปิดกว้างด้านศาสนา กลับกลายมานับถือเทพเจ้าอาลล์แห่งบาเลนเซียนั้น ก็ถือเป็นการแสดงให้เห็นว่าตนเองกำลังร่วมมือกับบาเลนเซียอยู่เช่นกัน
และพวกศัตรูที่คอยเข้ามาบุกรุกเมเดีย ต่างก็ไม่คาดคิดว่าเมืองไร้กฏหมายอย่างเมเดียนั้น จะกลับมาแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้
หายนะที่ย่ำแย่เริ่มต้นขึ้นที่หมู่บ้านทารีฟ หมู่บ้านเล็กๆ ที่ล้อมรอบด้วยแม่น้ำจูไน์ทางทิศตะวันตกของเมเดีย ที่นี่เป็นแหล่งรวมตัวของเหล่าซอเซอร์เรส และไม่ได้รับความสนใจจากคนภายนอกเท่าไรนัก เมื่อสามร้อยปีที่แล้ว ซอเซอร์เรส คาร์เทียน ที่มาจากดินแดนภาคตะวันออก ได้สร้างชุมชนขึ้นและอาศัยอยู่ที่เมเดีย เรื่องราวการเสียสละของพวกเขาถูกบันทึกไว้อย่างชัดเจน ชาวบ้านหมู่บ้านทารีฟต่างปฏิบัติตามกฏระเบียบที่มีในหนังสือคาร์เทียน ที่คาร์เทียนผู้ก่อตั้งหมู่บ้านทารีฟทิ้งไว้ก่อนเสียชีวิต หนังสือนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับกฏระเบียบที่ซอเซอร์เรสแห่งทารีฟต้องปฏิบัติ รวมทั้งมีพลังของคาร์เทียนแฝงอยู่ แต่หลังจากนั้นไม่นานหนังสือคาร์เทียนก็มีพลังแรงกล้าขึ้นจนไม่มีใครสามารถควบคุมมันได้ และเหล่าซอเซอร์เรสเองก็สูญเสียพลังลงเรื่อยๆ
ผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับหนังสือคาร์เทียนก็ไม่สามารถรับมือกับพลังนี้ไหว และต้องจบลงด้วยการสูญเสียสติไปตามๆ กัน ต่อมาได้มีการร่างหนังสือคาร์เทียนขึ้นมาใหม่ และผนึกหนังสือเล่มเดิมไว้ ผู้นำแต่ละคนได้ผนึกมนตราของตนเองไว้ที่หนังสือดังกล่าว เพื่อไม่ให้มีผู้ใดสามารถเปิดผนึกและนำพลังร้ายของหนังสือคาร์เทียนไปใช้สร้างความเสียหายได้อีก
ปราสาทเมเดียถูกเผาไหม้ด้วยฝีมือของอิลเลซรา เมเดียอยู่ในค่ำคืนที่มืดสนิทเป็นเวลาสามวัน ไม่เว้นแม้แต่อัลทิโนว่า ไม่มีทั้งแสงจากดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ชาวเมเดียต่างก็สั่นกลัวอยู่ในความมืด โดยต้องพึ่งพิงแสงจากคบเพลิงเท่านั้น บางคนต้องดิ้นรนต่อสู้ บางคนกรีดร้องด้วยความกลัวและหนีไปนอกอัลทิโนว่า แสงที่สะท้อนในดวงตาของเขามีเพียงปราสาทเมเดียที่กำลังถูกไฟเผา และการที่ราชวงศ์เล็กๆ ต้องล่มสลายลงก็ไม่ได้เป็นเรื่องน่าแปลกใจอะไร มีผู้คนที่เสียใจต่อการจากไปของพระเจ้าบาเรสที่ 2 ก็จริง แต่ก็ไม่มีใครยินดีกับการที่เจ้าชายองค์สุดท้องของราชวงศ์เมเดียรอดชีวิตมาจากหายนะ อิลเลซราได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย และเรื่องราวของเธอถูกเล่าขานกันไปต่างๆ นานา #7 ปีศักราชเอลีออนที่ 280 มีข่าวลือเรื่องการปรากฏตัวของอิลเลซรา แต่สิ่งที่น่ากังวลกว่าการกลับมาของอิลเลซราในตอนนี้ก็คือ การรุกล้ำเขตเหมืองแร่ร้างของอัลทิโนว่าของเหล่ายามาญ พวกเสื้อคลุมสีดำที่สามารถสื่อสารด้วยภาษาของมนุษย์ต่างป่าวประกาศว่าเผ่ายามาญได้เข้ามาครอบครองอัลทิโนว่า เส้นทางของเผ่ายามาญนั้นเริ่มตั้งแต่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมเดีย ไปจนถึงป่าใหญ่ที่เป็นถินที่อยู่ของกลุ่มนักล่าผู้โหดร้ายเซเจค
ตำนานบาเลนเซีย
ผู้ผ่านความตายคนหนึ่งได้ปรากฏตัวขึ้น แล้วพาเด็กสาวคนหนึ่งไปที่ห้องหินโบราณ ทันใดนั้น ประตูทั้งหมดที่ถูกปิดตายก็เปิดออก ทุกคนล้วนคุกเข่าคำนับและพาดบันใดเพื่อเชื่อมต่อไปยังห้องหิน เมื่อมาถึงห้องที่เต็มเปี่ยมไปด้วยทองคำนานาชนิด เด็กสาวยื่นมือไปหยิบมงกุฏจากกองสมบัติเหล่านั้น และนับจากนั้นเป็นต้นมา ราชินีแห่งบาเลนเซียก็ได้ถือกำเนิดขึ้น นับเป็นครั้งแรกในรอบ 50 ปี หลังจากสิ้นสุดราชวงศ์ของอีมูร์ เนเซล กษัตริย์บาเลนเซียองค์ที่ 4 จากนั้นมา ชาวบาเลนเซียทุกคนได้ใช้ชีวิตโดยลืมทุกอย่างที่เกิดขึ้นในอดีต ทั้งความตายสีดำที่ครอบงำทะเลทราย และนักสังหารอาร์คมานที่เป็นประวัติศาสตร์อันเลวร้ายของบาเลนเซีย..... #1 ปีศักราชเอลีออนที่ 233 ความบาดหมางระหว่างชนเผ่าอาร์คมานและราชวงศ์เนเซลเกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ชนเผ่าอาร์คมานที่อยู่ในบาเลนเซียมาตั้งแต่อดีตต่างเรียกตนเองว่า <ผู้พิทักษ์อารยธรรมโบราณ> พวกเขาปะทะกับเหล่าราชวงศ์เรื่องห้องหินโบราณและวัตถุโบราณต่างๆ ที่ปรากกฏในทะเลทรายบาเลนเซีย ทำให้อีมูร์ เนเซล กษัตริย์บาเลนเซียองค์ที่ 4 ได้ประกาศคำสั่งให้รวบตัวเผ่าอาร์คมาน
กษัตริย์อีมูร์ไม่ได้รับการยอมรับในทางที่ดีเท่าไหร่นัก และการขอไกล่เกลี่ยกับชนเผ่าอาร์คมานก็ถูกปฏิเสธกลับมาทุกครั้ง เขาจึงตัดสินใจส่งกำลังพลไปยังเขตแดนของพวกอาร์คมาน และนั่นก็เป็นบ่อเกิดของการฆาตกรรมหมู่ขึ้น เดิมทีพวกอาร์คมานไม่ได้ยอมแพ้แม้ว่าจะเกิดการนองเลือดขึ้นมากแค่ไหน แต่สุดท้ายก็ต้องยอมจำนนในที่สุด
และเมื่อเผ่าอาร์คมานถูกกำจัด หายนะอันยิ่งใหญ่ก็เข้ามากลืนกินแผ่นดินทิศตะวันตกทันที ความมืดสีดำที่มาจากกลุ่มการค้าบาเลนเซีย ทำให้กษัตริย์อีมูร์ต้องสูญเสียพระชายาอันเป็นที่รักไป ผู้คนต่างล่ำลือกันว่าการที่กษัตริย์อีมูร์ได้กำจัดเผ่าอาร์คมาน เป็นการทำให้เทพเจ้าโกรธแค้นจึงได้รับการลงโทษเช่นนี้ และผู้คนส่วนมากต่างมองว่าอีมูร์เป็นอสูรชั่วร้าย ทั้งๆ ที่บาเลนเซียใช้ก้อนหินสีดำและสร้างหายนะเหล่านี้ขึ้น นักบวชศาสนาเอลีออนแห่งคาลเพออน ต่างต้องการครอบครองทะเลทรายที่มีก้อนหินสีดำเหล่านี้ พร้อมกับอ้างว่าเป็นการทำเพื่อยุติหายนะทั้งปวง
กองทัพทหารบาเลนเซียยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ท่ามกลางทะเลทราย ราวกับที่คณะสำรวจคาลเพออนได้คาดการณ์ไว้ ความแข็งแกร่งที่ต้องการปกป้องอาณาจักรของกองทหารบาเลนเซียไม่มีกองทัพใดสามารถเทียบได้ แม้ว่าสงครามจะยาวนานกว่า 30 ปี เนื่องจากความยึดติดของกาย เซริค กษัตริย์แห่งคาลเพออน แต่ท้ายที่สุดแล้วจุดจบของสงครามอันยาวนั้นก็มีเพียงความว่างเปล่า พายุทะเลทรายได้กลืนกินกองทหารคาลเพออนและกองทัพบาเลนเซีย นี่ถือเป็นประวัติการณ์ใหม่ที่แม้แต่บาเลนเซียเองก็ไม่เคยพบเจอมาก่อน คาลเพออนสูญเสียคณะสำรวจไปมากมาย และไม่สามารถเผชิญหน้าในทะเลทรายต่อไปได้อีก สงครามทั้งหมดจึงต้องจบลงเนื่องจากภัยธรรมชาติครั้งนี้ รอยเลือดที่เคยเอ่อล้นบนผืนทราย, ความโหดเหี้ยมของการปะทะกัน.. ทุกอย่างถูกทับถมลงไปราวกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน กษัตริย์อีมูร์ ได้สถาปนาสถานที่ทำสงครามว่า "ทะเลทรายสีแดง" เพื่อระลึกถึงการเสียสละของเหล่านักรบ และขอบคุณเทพเจ้าอาลล์ที่นำชัยชนะมาให้ คำพูดของกษัตริย์ที่ตรัสไว้ว่า “ทะเลทรายคือดินแดนของเทพเจ้าอาลล์ ความร่มเย็นของเทพเจ้าอาลล์คือโอเอซิส และก้อนหินสีดำคือความอุดมสมบูรณ์ของเทพเจ้าอาลล์” คำพูดนี้เปรียบเสมือนเข็มทิศนำทางของบาเลนเซีย ความตายสีดำและสงครามอันยาวนานได้ก่อให้เกิดกลุ่มกบฏเล็กๆ ขึ้น เมื่อกษัตริย์สูญเสียพละกำลังเนื่องจากโรคร้าย ธอร์เม เนเซล ก็ได้รับกุญเเจทองคำและขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์องค์ที่ 5 ทันที ฮอร์เมร์ เนเซล ได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ในช่วงอายุที่มากที่สุดในประวัติกาลของบาเลนเซีย ซึ่งเขามีโอรส 3 องค์ และธิดา 1 องค์ ในตอนนั้น
หลังจากที่กษัตริย์ฮอร์เมร์เสียชีวิตด้วยโรคประจำตัว โอรสคนโตของเขา ซาฮาจาดด์ เนเซล ก็ได้ขึ้นครองราชเป็นกษัตริย์องค์ที่ 6 ซาฮาจาร์ดได้แต่งตั้ง บาร์ฮัน น้องชายคนที่สองที่เป็นบุตรของสตรีจากประเทศเพื่อนบ้าน ให้ดูแลกองทหาร, มานเมฮัน น้องชายคนที่สาม ดูแลประมวลกฎหมาย และ ซายา น้องสาวคนสุดท้อง ดูแลพระคัมภีร์อาล ตามความต้องการของฮอร์เมร์ผู้เป็นพ่อ ในขณะนั้นชาวบาเลนเซียทุกคนต่างมีความสงบสุขและอาณาจักรก็มีแต่ความร่มเย็น #6 ปีศักราชเอลีออนที่ 282 แต่ความสงบสุขนั้นมีอยู่ได้ไม่นานนัก เพราะ บาร์ฮัน เจ้าชายองค์ที่สอง ได้รับรู้จากมารดาของตนว่า กษัตริย์ซาฮาจาร์ดไม่ได้ครอบครองกุญแจทองคำที่สืบทอดต่อกันมานับพันปี มันเป็นสื่อกลางเพียงสิ่งเดียวที่เชื่อมต่อราชวงศ์บาเลนเซียมาตั้งแต่รุ่นที่ 1 และถือเป็นสิ่งที่กษัตริย์แห่งบาเลนเซียทุกคนต้องมีไว้ครอบครองตอนที่ครองราชย์ หากกษัตริย์องค์ใดไม่มีกุญแจทองคำนี้ ก็จะไม่สามารถขึ้นครองราชย์ได้ หรือมันอาจเกี่ยวข้องกับเรื่องที่อาร์คมานกลับมาปรากฏตัวอีกครั้ง หรือเรื่องยักษ์โบราณเริ่มเคลื่อนไหวในทะเลทรายก็เป็นได้ กุญแจที่เต็มไปด้วยความลับของประวัติศาสตร์บาเลนเซียนั้น กำลังสร้างรอยร้าวให้แก่ราชวงศ์บาเลนเซียในตอนนี้
ตำนานคามาซิลเวีย
พร้อมกับตั้งชื่อให้ต้นไม้นั้นว่า คามาซิลฟ์ เธอรับพลังงานของอาทิตย์และพระจันทร์ แล้วให้กำเนิดคาเนลและเวดิล ที่ได้รับคำอวยพรจากแสงสีเขียวของป่าและนางฟ้าฟัน
โบรลีน่า โอเนท ผู้ที่ได้รับช่วงเป็นราชินีตั้งแต่ในวัยเยาว์นั้น ได้มุ่งมั่นตั้งใจที่จะปกป้องคามาซิลเวียอย่างสุดความสามารถ เธอได้รับพลังของคาเนลมาตั้งแต่กำเนิด และมีความสามารถใจการสื่อใจกับธรรมชาติเป็นอย่างดี ทั้งความรู้และความปราดเปรียวที่โดดเด่น ทำให้เธอคู่ควรกับตำแหน่งราชินีอย่างสมบูรณ์แบบ แต่อย่างไรก็ตามสงครามก็ยังเป็นอีกปัญหาหนึ่งที่เธอเองต้องรับมือ การยั่วยุของอาฮีฟที่อยู่เบื้องหลังเหล่าเวดิลที่กำลังบุกรุกคามาซิลเวียถือเป็นอีกอุปสรรคอย่างยิ่ง และดูเหมือนมันจะเริ่มรุนแรงขึ้นทุกที แต่แท้จริงแล้ว เวดิลกับคาเนลนั้นมิได้บาดหมางกันมาตั้งแต่ต้น ในยุคแรก คาเนลได้รับพลังแห่งดวงอาทิตย์และเวดิลได้รับพลังแห่งดวงจันทร์ ทั้งสองต่างเป็นบุตรของเทพธิดาซิลเวียและเป็นพี่น้องที่รักใคร่กันเป็นอย่างดี แต่เมื่อถึงศักราชเอลีออน ปี 235 หายนะที่ครอบงำคามาซิลเวียได้ทำลายความสัมพันธ์อันดีของทั้งสองลงจนหมดสิ้น เหล่าวิญญาณแห่งความมืดเริ่มเข้ามากลืนกินทุกสิ่งทั่วทั้งผืนป่า ยิ่งเวลาผ่านไปเท่าใด การสูญเสียก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เหล่าลูกหลานซิลเวียต่างมีที่พึ่งพิงสุดท้ายคือพลังแห่งต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์คามาซิลฟ์ ที่เทพธิดาซิลเวียได้ทิ้งไว้ให้ และแม้ว่าพวกเขาได้พยายามอ้อนวอนให้หายนะเหล่านี้สิ้นสุดลง เทพธิดาซิลเวียก็มิได้ตอบสนองความต้องการของพวกเขาแต่อย่างใด
มิหนำซ้ำ ยังมีคำทำนายแห่งหายนะถัดไปว่า ป่าจะต้องถูกปกคลุมไปด้วยขี้เถ้าสีขาว ซึ่งสร้างความหวาดกลัวให้แก่ลูกหลานซิลเวียเป็นอย่างมาก และในตอนนั้นเอง เหล่าเวดิลได้ค้นพบพลังที่เหนือกว่าเหล่าวิญญาณแห่งความมืด หลังจากที่พยายามค้นหาพลังอันแข็งแกร่งอยู่นาน แต่ก็ไม่พบพลังใดที่อยู่เหนือพลังแห่งคามาซิลฟ์ได้เลย ทำให้มีหนึ่งในเวดิลเสนอแนวคิดที่จะเผาต้นคามาซิลฟ์ แล้วดูดซึมพลังที่ได้จากการมอดไหม้นั้น ซึ่งแนวคิดที่ว่าก็ดูเหมือนจะเริ่มเป็นจริงขึ้นมา ในที่สุดพลังแห่งคามาซิลฟ์ก็ถูกเผาไหม้และพลังแห่งชีวิตก็ปรากฏขึ้น ซึ่งพลังดังกล่าวมีประสิทธิภาพในการทำลายล้างสูงกว่าพลังใดๆ สุดท้าย ก็ไม่มีใครสามารถปกป้องคามาซิลฟ์ไว้ได้ เหล่าลูกหลานคามาซิลฟ์ต่างโศกเศร้าเสียใจที่มารดาแห่งธรรมชาติต้องจบชีวิตลงอย่างน่าเสียดาย แต่ไม่นานบทเพลงแห่งป่าก็บรรเลงขึ้น ทำให้ธรรมชาติถูกฟื้นฟูขึ้นมาอีกครั้ง บทเพลงนี้แฝงไปด้วยท่วงทำนองแห่งการปลุกคามาซิลฟ์ให้ตื่นขึ้นจากการหลับใหล
วิญญาณแห่งความมืดได้หายไป แต่สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือการที่ไม่มีใครสามารถใช้พลังแห่งเทพธิดาได้อีก และนั่นก็เป็นสัญญาณว่าวิกฤตอันเลวร้ายยังไม่ผ่านพ้นไป หรือบางทีอาจเกิดหายนะที่ใหญ่กว่าเดิมก็เป็นได้ เหล่าลูกหลานแห่ง คามาซิลฟ์ที่สัมผัสได้ถึงวิกฤตการณ์ในครั้งนี้ ต่างใช้พลังแห่งวิญญาณและกิ่งของคามาซิลฟ์มาผลิตเป็นอาวุธเพื่อเตรียมพร้อม เหล่าเรนเจอร์ชั้นสูงที่มีความสามารถด้านการใช้ดาบและธนู ได้จัดตั้งกลุ่มองครักษ์อาเคลขึ้น และประจำการอยู่ที่เมืองหลวง หลังจากนั้นคามาซิลเวียก็ปิดประตูเมืองทุกทิศทาง และประกาศห้ามไม่ให้คนภายนอกเข้ามาภายในเป็นอันขาด หลังจากนั้นมา เหล่าเวดิลและคาเนลก็เริ่มห่างเหินกันมากขึ้น และใช้ชีวิตที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่แล้ว เหล่าอาฮีฟก็เป็นฝ่ายเริ่มซุ่มโจมตีองครักษ์อาเคลก่อน ซึ่งอาฮีฟเหล่านี้ได้ใช้พลังแห่งธรรมชาติที่แฝงอยู่ในเวดิลมาตั้งแต่ต้น พวกนั้นอาจจะยังหลงเหลือพลังมหาศาลที่ได้จากการเผาต้นคามาซิลฟ์อยู่ ว่ากันว่าการสูญเสียต้นคามาซิลฟ์ครั้งนี้ คือการให้กำเนิดเหล่าอาฮีฟแสนโหดเหี้ยม พวกนั้นเมินเฉยต่อผืนป่าและเหล่าวิญญาณที่ให้กำเนิดตนเอง และยึดตนเองเป็นหลักโดยไม่ยอมรับความเห็นจากผู้อื่น สำหรับชาวคามาซิลเวียแล้ว ฮาฮีฟเหล่านี้ถือเป็นผู้ที่อยู่นอกรีต และตั้งตนเป็นปรปักษ์กับเหล่าเวดิลด้วยกัน เมื่อความขัดแย้งนี้ได้ดำเนินไปเรื่อยๆ อยู่ๆ เวดิลส่วนหนึ่งก็ได้ประกาศสันติภาพขึ้น และผู้ที่อยู่เบื้องหลังการประกาศสันติภาพในครั้งนี้ ก็คือ ดาร์คไนท์ ผู้ทำสนธิสัญญาว่าจะปกป้องและกอบกู้คามาซิลฟ์ให้กลับคืนมา ดูเหมือนว่าท่ามกลางอาเคล, เรนเจอร์, ดาร์คไนท์ และอาฮีฟ จะไม่มีจุดศูนย์กลางใดๆ ที่สามารถยึดเหนี่ยวพวกเขาได้เลย
เนื่องจากที่นั่นมีเหล่าหมีซาลูนอันดุร้ายและสื่อสารด้วยภาษาที่แตกต่าง แม้แต่อาฮีฟเองก็ยากที่จะสื่อสารและฝึกฝนหมีซาลูนที่มีร่างอันใหญ่โตและดวงตาที่เปล่งประกายท่ามกลางความมืด ทำให้เหล่าอาเคลตัดสินใจถอยทัพกลับมายังคามาซิลเวีย และมุ่งมั่นที่จะฟื้นฟูธรรมชาติให้กลับมายั่งยืนอีกครั้ง สุดท้ายพวกเขาก็ได้พบวิธีคืนชีพให้แก่คามาซิลฟ์ และในขณะเดียวกันก็ยังมีเวดิลบางส่วนที่หลงเหลืออยู่ในคามาซิลเวีย พวกเขาได้รับพลังจากคาเนล และเป็นผู้ที่ต่อต้านการกระทำอันเลวร้ายของเหล่าเวดิลอื่นๆ ทำให้พวกอาเคลตัดสินใจต้อนรับเวดิลพวกนี้ไว้ในดินแดนของตน
หนึ่งในการเปลี่ยนเเปลงที่เกิดขึ้นในคามาซิลเวีย ก็คือการฟื้นตัวของธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ เหล่านักบวชต่างพยายามที่จะปลุกต้น คามาซิลฟ์ให้ตื่นขึ้นอีกครั้งและผ่านการฝึกฝนมากมายเพื่อที่จะได้เป็นนักบุญเต็มตัว หลังจากเติบโตอย่างแข็งแกร่งเต็มที่แล้ว พวกเขาได้เดินทางออกไปด้านนอกคามาซิลเวีย เพื่อยืมพลังของเหล่าวิญญาณในดินแดนต่างๆ แล้วนำกลับมาเยียวยารักษาคามาซิลฟ์ให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง #4 ปีศักราชเอลีออนที่ 284 เวลาผ่านเลยไปราว 8 ปี ที่อาฮีฟอาศัยอยู่ในดินแดนอันแห้งแล้งของหมีซาลูนนั้น... พวกนั้นได้สร้างป้อมอาฮีฟขึ้นที่โอดีลิธราดินแดนแห่งความมืด ว่ากันว่าพวกนั้นสร้างอาวุธชนิดใหม่ขึ้นโดยใช้พลังจากหมีซาลูน ดินแดนที่เคยแห้งแล้งมีแต่ขวากหนามนั้นกลับมีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง การเคลื่อนไหวของเหล่าอาฮีฟ ถูกจับตามองผ่านหอรักษาการณ์เลโมเรียที่อยู่ทางทิศตะวันออกของทุ่งหญ้าคามาซิลเวีย อยู่มาวันหนึ่ง สมาชิกหน่วยรักษาการณ์เลโมเรียที่คอยสังเกตการณ์บริเวณอุโมงค์ดูจาร์ค ได้พบเห็นเหล่าอาฮีฟที่เดินทางออกนอกดินแดนของตนเพื่อที่จะมาบุกรุกบริเวณรอบๆ คามาซิลเวีย และแม้ว่าหน่วยรักษาการณ์จะพยายามป้องกันเหล่าอาฮีฟเท่าไหร่ ก็ดูเหมือนจะไม่เห็นผล และมีแต่จะสูญเสียกำลังพลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เหล่านักบวชคามาซิลฟ์จึงตัดสินใจผนึกอุโมงค์ดูจาร์คเพื่อไม่ให้พวกอาฮีฟเล็ดลอดเข้ามา อาฮีฟเหล่านั้นต่างไปจากเดิมมากนัก พวกเขาแข็งแกร่งกว่าเดิมหลายเท่าราวกับว่าได้พบกับวิญญาณแห่งความมืดอีกครั้ง การฟื้นฟูคามาซิลฟ์เกือบจะสำเร็จแล้ว แต่เหตุการณ์การบุกรุกของเหล่าอาฮีฟก็รุนแรงขึ้นทุกที สุดท้ายแล้วเหล่าอาเคลจะรักษาสันติภาพของผืนป่าไว้ได้หรือไม่
ตำนานดรีกัน
คำสาปของการฆ่ามังกรไม่ได้หายไปจาก ‘เซเรคาน’ พวกเขายังคงเตร็ดเตร่ไปตลอด เพื่อเชือดคอมังกร #1 ปีศักราชเอลีออนที่ 185
ชนเผ่าหนึ่งได้ใช้เลือดของมังกรจากความผิดพลาดที่ไม่มีใครคาดคิด ผิวหนังของพวกเขากลายเป็นสีดำราวกับเกล็ดมังกรและลำตัวก็เริ่มมีขนาดใหญ่ขึ้น จากนั้นพวกเขาก็เริ่มเรียกตนเองว่า ‘เซเรคาน’ เดิมที่พวกเขาอาศัยอยู่ที่ทิศตะวันออกของดรีกัน อาคุมผู้เป็นหนึ่งในเซเรคานได้รับการยกย่องให้เป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ แต่เขาก็ไม่สามารถรักษาเกียรติภูมิแห่งเซเรคานไว้ได้ยาวนานเท่าไหร่นัก เนื่องจากอยู่ๆ แผ่นดินที่พวกเขาอาศัยอยู่ก็กลายเป็นแผ่นดินแห้งแล้ง ผู้คนต่างอดตายในสภาพที่อิดโรยและขาดน้้ำ
ในระหว่างที่เหล่านักรบเซเรคานต่างดิ้นรนต่อสู้ ก็มีผู้หนึ่งได้ออกมาเปิดเผยว่าหายนะในครั้งนี้ คือผลตอบแทนที่พวกเขาได้ใช้เลือดของมังกรในทางที่ผิด จุดจบของประวัติศาสตร์เซเรคานได้มาถึงแล้ว อาคุม หนึ่งในทายาทรุ่นหลังของเซเรคานผู้ปลิดชีพมังกร ได้ส่งมอบฟันของมังกรให้แก่คนรุ่นหลังก่อนที่เขาจะเสียชีวิต แล้วพูดว่า ‘จงฝังฟันมังกรนี้ไว้ในดิน และจงตั้งถิ่นฐานในที่ที่ฝนโปรยปรายลงมา’ และต่อมา ชาวเซเรคานรุ่นหลังก็ได้ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้นำอาคุมอย่างเคร่งครัด
ในขณะนั้น มีฝนโปรยปรายจากฟากฟ้าลงมาบนแผ่นดินที่ฝังฟันของมังกรไว้ นับเป็นฝนที่ตกลงมาครั้งแรกในรอบสี่สิบปี ทำให้ลำธารในดรีกันที่เคยเเห้งเหือดเต็มเปี่ยมไปด้วยกระแสน้ำอีกครั้ง ในที่สุดเดอร์เวนครูนก็กลับมามีชีวิตชีวา ที่ผ่านมาเหล่าทายาทเซเรคานต่างพยายามค้นหาพื้นดินที่พอจะอยู่อาศัยได้ แต่ก็ยากที่จะพบ ในตอนนี้ร่างกายของพวกเขานั้นก็อ่อนแอมากเต็มที จากเดิมที่พวกเขาเคยมีร่างกายใหญ่โตกว่าเหล่าเบอร์เซิร์กเกอร์ ตอนนี้เขาสูญเสียทั้งพลังและความสามารถไปอย่างสิ้นเชิง แต่อย่างน้อย ความสุขที่ได้รับจากการฟื้นฟูของแผ่นดินนี้ ก็ทำให้พวกเขาคลายจากความโศกเศร้าได้มากทีเดียว
ในคืนที่เงียบสงัดคืนหนึ่ง เกิดเหตุไฟไหม้ขึ้นที่ด่านตรวจขนาดเล็กบริเวณใกล้เคียงกับดรีกัน ซึ่งเป็นฝีมือของเหล่าอาฮีฟที่เเตกแยกมาจากคามาซิลเวีย ดูเหมือนว่าพวกนั้นจะมุ่งหน้ามายังดรีกันหลังจากที่ออกจากคามาซิลเวีย แล้วย้ายไปตั้งถิ่นฐานในดินแดนของหมีซาลูน การเผชิญหน้าระหว่างอาฮีฟและหน่วยทหารชาวบ้านแห่งดรีกันเริ่มรุนแรงขึ้น ในที่สุดดรีกันที่มีกองกำลังน้อยกว่าก็ต้องพ่ายแพ้ การบุกรุกของเหล่าอาฮีฟเริ่มขยายวงกว้างขึ้น หัวหน้าดูร์เคฟผู้นำหน่วยทหารชาวบ้านจึงคิดที่จะรักษาเกียรติภูมิแห่งเซเรคานไว้ โดยการแต่งตั้งลำดับยศทางทหารขึ้น แต่ในที่ประชุมกลับมีเพียงข้อเสนอให้ยกย่องหน่วยทหารชาวบ้านให้เป็นทหารรักษาการณ์เท่านั้น และไม่มีข้อคิดเห็นใดๆ เพิ่มเติม #5 ปีศักราชเอลีออนที่ 286 นายพรานคนหนึ่งได้ออกล่าสัตว์ในตอนกลางคืน และพบเห็นปีกมังกรที่กางออกอย่างสง่าบนเนินเขา… ด้วยความมั่นใจว่านั่นคือมังกรแน่ๆ เขาจึงตะโกนออกไปว่า “มังกรปรากฏตัวแล้ว!” เสียงของเขาดังก้องไปทั่วทั้งด่านตรวจอีกาดำไปจนถึงเดอร์เวนครูน ผู้ใหญ่บ้านดูร์เคฟที่รู้เรื่องนี้ก็รู้สึกหวาดกลัวจนตัวสั่น แม้ว่าพวกเขาเป็นลูกหลานเซเรคานรุ่นหลังที่บรรพบุรุษของตนได้ปราบมังกรมาก่อน แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นมังกรกับตา และสิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นคือความจริงที่ว่า กำลังพลอันน้อยนิดของพวกเขาไม่สามารถรับมือกับมังกรได้อย่างแน่นอน หลังจากการประชุมหาลือหลายต่อหลายครั้ง ดูร์เคฟจึงตัดสินใจรวบรวมทหารอาสาผู้กล้าที่จะไปเผชิญหน้ากับมังกร โดยมีเงื่อนไขเพียงแค่ ‘ใครก็ตามที่สามารถสู้รบได้’ และนี่ก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ดรีกันเช่นกัน
ตำนานภูเขาหิมะแห่งนิรันดร์
แต่พวกเธอก็ได้ตามหานักรบฤดูหนาวที่จะมาทำหน้าที่แทนตนเอง ก่อนที่พวกเธอจะสูญสลายหายไป ด้วยความที่พวกเธอไม่สามารถคงอยู่ไปตลอดกาลได้ นักรบผู้เอาชนะบททดสอบของแม่มดทั้งหก และขึ้นไปยืนอยู่บนยอดน้ำแข็งเพียงผู้เดียวเอ๋ย จงครอบครองอีนิกซ์ เปลวไฟโลกันตร์ที่สามารถแผดเผาได้แม้กระทั่งองค์เทพ ซึ่งเป็นสมบัติของท่านลาฟเรสก้าผู้ยิ่งใหญ่ แล้วเผชิญหน้าต่อต้านความมืดเสียเถิด จงมายังภูเขาหิมะแห่งนิรันดร์ สถานที่ที่ยุคโบราณหลับใหลอยู่เสีย... #1 ก่อนปีศักราชเอลีออน 4000 ปี
ลาฟเรสก้าเป็นมังกรที่ล่ามังกรตัวอื่น ด้วยจิตใจแห่งเหล่าพี่น้องร่วมเผ่าพันธุ์ จึงได้กลายเป็นเจ้าแห่งภูเขาสีทอง เวลาล่วงผ่านไปในขณะที่ไม่เหลือมังกรที่ท้าทาย เปลวเพลิงใหม่ได้ก่อขึ้นภายใน ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าเปลวเพลิงนี้ เป็นเรื่องผิดพลาดหรือบททดสอบจากเทพกันแน่ การควบคุมเปลวเพลิงที่สามารถเผาไหม้ได้แม้แต่เทพนั้น ลาฟเรสก้าได้ท้าทายกับอำนาจที่ว่านี้ แต่เทพกลับทำลายปีกและตัดแขนขาทั้งสี่ของนาง รวมทั้งบันดาลให้เกิดหิมะแห่งนิรันดร์บนภูเขาสีทอง ในขณะที่ความรุ่งโรจน์นั้นเลือนหายไปเกินกว่านิรันดร์ ลาฟเรสก้าเผชิญหน้ากับ 'ความตายครั้งแรก’ ในรูปลักษณ์อันสมถะ ด้วยเปลวเพลิงที่หลงเหลืออยู่เพียงในก้นบึ้งลึกที่สุดของหัวใจ และเข้าสู่สถานที่ที่ยุคโบราณหลับใหลอยู่... แต่ความตายครั้งแรกของลาฟเรสก้านั้น ทำให้ชีวิตใหม่ทั้งเจ็ดถือกำเนิดขึ้น และเหล่าสรรพสิ่งทั้งหลายด้านล่างภูเขานั้น ก็เรียกสิ่งมีชีวิตนี้ว่าแม่มดแห่งหิมะ
"ข้าจะต้องกลับมาให้จงได้ เพราะเปลวไฟนี้เป็นชีวิตของท่าน" หลิวประกายเงินได้ให้คำสาบานไว้กับลาฟเรสก้าอย่างหนักแน่น ก่อนที่จะจากไป โดยหลังจากที่เขาได้จากไป ฤดูหนาวที่นำพาความตายก็ได้เริ่มต้นขึ้นในภูเขาหิมะแห่งนิรันดร์ ทันทีที่อีนิกซ์ได้หายไป ร่างการของลาฟเรสก้าก็เริ่มถูกภูตดำเข้าครอบครอง 'แดนเหมันต์' ได้ถือกำเนิดขึ้นจากน้ำตาที่หลั่งไหลออกมาของลาฟเรสก้า หลังจากเวลาได้ล่วงเลยผ่านไป ในตอนที่ลาฟเรสก้าได้พบกับความตายครั้งที่สอง 'อาเบธ' ชีวิตใหม่ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นจากบาดแผลทั่วร่างกาย เสียงคร่ำครวญดังขึ้นมาจากด้านล่างภูเขา จากความตายของลาฟเรสก้า แม่มดทั้งหกก็ได้สิ้นชีพลง และเหล่ามนุษย์ที่ดูดซับน้ำทิพย์ที่หลงเหลืออยู่ ณ จุดนั้นก็ได้กลายพันธุ์ แล้วทำให้หมู่บ้านตกอยู่ในความวุ่นวาย
หัวหน้าชนเผ่าทะเลสาบสีดำได้ตั้งตนเป็นผู้บุกเบิกอันยิ่งใหญ่ และทำการรวมชนเผ่าที่เหลือทั้งห้า แต่ตรงกันข้ามกับชนเผ่าที่ไปเข้าร่วมการรวมชนเผ่า ตามที่ผู้บุกเบิกเรียกขาน อาเบธกวาง 'แอล' กลับให้คำสัญญาที่จะปกป้องหมู่บ้าน วันนั้นยังเป็นวันแรก ที่อาเบธได้ออกมาจากเนินเขาเซอร์เวียร์อีกด้วย ผู้บุกเบิกอันยิ่งใหญ่ที่ได้สืบทอดปัญญา ที่ใช้ควบคุมกองทหารโมลล์เวกค์ ที่เชื่อมโยงจากทหารมูลาสคาห์ และราชินีเบอร์เซเดสมาจากเดเฮล แม่มดคนที่หกนั้นเป็นคนที่แน่วแน่เป็นอย่างมาก แต่ถึงแม้จะรวบรวมปัญญาของแม่มดทั้งหกเอาไว้ในที่เดียวกัน ก็ยังไม่เพียงพอที่จะประมือกับมังกรได้เลย ซึ่งค่อนข้างต่างไปจากสิ่งที่คาดคิดเอาไว้ ชนเผ่าทั้งห้าที่จากถิ่นฐานไป ต่างก็รู้สึกโมโห และผู้บุกเบิกอันยิ่งใหญ่ก็ได้ถูกพวกเขาทำร้ายจนเสียชีวิต แต่อาคุม บุตรชายที่เห็นบิดาของตนเสียชีวิต ก็ได้ทำการรวมชนเผ่าอีกครั้ง ในอนาคต...